ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งและรถยนต์ในขบวนเสด็จฯ มาถึงบริเวณแยกพิชิตบำรุง อ.เมือง จ.นราธิวาส ปรากฏว่ามีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ฝ่าแนวกั้นของตำรวจที่ยืนอารักขาหรือรักษาการณ์ แล้วพุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่งที่พระองค์ทรงนั่ง
แรงอัดที่พุ่งชนส่งผลให้รถจักรยานยนต์คันนั้นกระเด็นล้มลงบนพื้นถนน ผู้ขับขี่และผู้ที่นั่งซ้อนท้ายกระโดดออกไป ตำรวจทุกนายที่ทำหน้าที่อารักขาตกใจกันไปตาม ๆ กันรีบวิ่งกรูเข้ามาทันที พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร หนึ่งในตำรวจผู้ทำหน้าที่อารักขา รีบวิ่งไปยืนคุ้มกันข้างรถพระที่นั่ง แล้วหยิบอาวุธปืนขึ้นมาคอยป้องกันระวังภัย ด้วยความหวั่นเกรงว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีต่อพระยุคลบาท
ส่วนผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่กำลังบาดเจ็บอยู่นั้นได้รับการรักษาพยาบาล และถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาขับรถโดยประมาท ขณะเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ก็ทรงทอดพระเนตรอยู่ในเหตุการณ์ และเมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งไปยังโรงพยาบาลแล้ว พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเสด็จฯ ยังพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ต่อไป
ส่วนผู้ที่ก่อเหตุนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องก็ทราบว่า เป็นพลตำรวจสังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ก่อนเกิดเหตุนั้น นายตำรวจผู้นี้ไปเที่ยวดื่มสุราและคงเกิดอาการเมามาย จึงกระทำการไม่คาดฝัน ขับรถพุ่งฝ่าแนวตำรวจที่กำลังยืนอารักขาหรือรักษาการณ์เข้าไปชนรถยนต์พระที่นั่ง
แต่พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาเป็นล้นพ้นต่อนายตำรวจผู้กระทำความผิดนี้ โดยทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ขออย่าให้ลงโทษหนัก และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่นายตำรวจผู้นี้ในการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเขาด้วย
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว วันรุ่งขึ้นก็พบว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก ซึ่งคราวนี้ค่อนข้างจะรุนแรงเลยทีเดียว นั่นคือ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯ ออกจากพระตำหนักทักษิณราชวิเวศน์ เพื่อไปพระราชทานรางวัลแก่โรงเรียนที่จัดการศึกษาดีเด่น ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาคัดเลือกไว้แล้ว ที่สวนสาธารณะสนามโรงพิธีช้างเผือก ต.สะเตง จ.ยะลา
ต่อมาเมื่อใกล้เสร็จพิธี ปรากฏว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นสองครั้งติดกันบริเวณด้านซ้ายของพลับพลาพิธีที่ประทับ ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 50 เมตรเท่านั้น ถือว่าใกล้มาก พสกนิกรต่างพากันตกใจลุกหนีกันจ้าละหวั่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
ซึ่งเป็นนายตำรวจผู้มีหน้าที่อารักขาในขณะนั้นรีบวิ่งไปคุ้มกันจนใกล้ชิดพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่ทั้งสองพระองค์ทรงแสดงกิริยาที่มั่นคง สีพระพักตร์เป็นปกติ
เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงก้าวพระบาทเข้าไปที่ไมโครโฟน แล้วทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทด้วยพระสุรเสียงที่เป็นปกติ
โดยข้อความตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาทนั้นมีว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น หากปรองดองกัน ให้กำลังใจและขวัญซึ่งกันและกัน รู้จักสงบจิตสงบใจ ก็จะสามารถขจัดภยันตราย และรักษาสถานการณ์ไว้ได้ด้วยดี
พุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่ง
พุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่ง
พุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่ง
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
https://bit.ly/3SUBEY7